ในนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานี
"และหากเราเปิดประตูแห่งชั้นฟ้าแก่พวกเขา แล้วพวกเขาจะขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงสายตาของพวกเราถูกปิดกั้น ไม่แต่เพียงเท่านั้นพวกเรายังเป็นกลุ่มชนที่ถูกเวทมนตร์อีกด้วย"
(อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลหิจร์: 14-15)
มีหกแง่มุมของปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์ในบทบัญญัติ (อายะห์) อันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเราจะอภิปรายดังนี้:
แง่มุมที่หนึ่งของปาฏิหาริย์ พระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ์ตรัสว่า: "และหากเราเปิดประตูแห่งชั้นฟ้าแก่พวกเขา" ซึ่งยืนยันว่าท้องฟ้าไม่ใช่ความว่างเปล่าอย่างที่ผู้คนเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน แต่มันคือโครงสร้างที่มั่นคงซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ยกเว้นผ่านทางประตูที่เปิดเข้าข้างใน
แง่มุมที่สองของปาฏิหาริย์ ในสองอายะห์ที่ทรงเกียรติที่กล่าวถึงอย่างชัดเจนว่า แสงสว่างในตอนกลางวันนั้นบางเบามาก ตามที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า: "และหากเราได้เปิด... พวกเขาจะกล่าวว่า..." หมายถึงว่า การที่สายตาของเราเห็นแสงสว่างแล้วมืดมิดในจักรวาลนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อขึ้นบนท้องฟ้าไปเพียงเล็กน้อย ความมืดนี้จะดำรงอยู่ไปจนถึงปลายจักรวาล ซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ยืนยันอย่างแม่นยำ
แง่มุมที่สามของปาฏิหาริย์ พระดำรัสของพระองค์กล่าวอย่างชัดเจนว่า : "และพวกเขาจะขึ้นไปที่นั่น" การใช้คำว่า "พวกเขาจะขึ้นต่อไป" เริ่มด้วยตัวอักษร "ฟา" ในภาษาอาหรับซึ่งบ่งบอกถึงความเร็ว เพราะการขึ้นจากพื้นดินไปยังท้องฟ้าต้องใช้ความเร็วสูงมากที่อาจถึง 12,800 กม.ในสามนาที การขึ้นไปสู่อวกาศต้องเดินทางไกลมาก ซึ่งอัลกุรอานได้ใช้คำว่า "พวกเขาจะขึ้นไป" ในการแสดงถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานในคำอธิบายขั้นตอนของการขึ้นไปยังจักรวาลว่าต้องใช้ความเร็ว
แง่มุมที่สี่ของปาฏิหาริย์ อัลกุรอานได้อธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในท้องฟ้าว่า "ขึ้นไป": "และพวกเขาจะขึ้นไปที่นั่น" การขึ้นไปในทางภาษาอาหรับหมายถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายในเส้นโค้งวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าการเคลื่อนไหวของวัตถุในจักรวาลไม่สามารถไปเป็นเส้นตรงได้ แต่ต้องเครื่อยเป็นแนวโค้งเนื่องจากการแพร่กระจายของสสารและพลังงานในจักรวาลทั้งหมด และผลกระทบจากแรงดึงดูดของสสาร (ในรูปแบบต่าง ๆ) และสนามแม่เหล็กของพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของวัตถุในจักรวาล ดังนั้น วัตถุที่มีมวลใด ๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ด้วยทางเส้นตรงในจักรวาลได้ยกเว้นเครื่อนที่ด้วยเส้นโค้ง
แง่มุมที่ห้าของปาฏิหาริย์ พระดำรัสของพระองค์กล่าวอย่างชัดเจนว่า: "พวกเขาจะพูดอย่างแน่นอนว่า 'สายตาของเราถูกหลอกลวงเสียแล้ว...'" ซึ่งหมายถึง "สายตาของเราได้ถูกปิดและปิดผนึก หรือถูกปกคลุมและครอบคลุมเพื่อไม่ให้เห็น" ณ จุดนั้นมนุษย์จะเห็นแต่ความมืด มนุษย์ต้องตกตะลึงกับการเปรียบเทียบอันน่าอัศจรรย์ของอัลกุรอานนี้ ซึ่งแสดงถึงความจริงของจักรวาลที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนจนกระทั่งเขาประสบความสำเร็จในการสำรวจอวกาศในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เมื่อเขาตกตะลึงกับความจริงที่ว่า จักรวาลส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดและมีความสว่างเพียงแถบกลางวันบนด้านที่หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ของโลกไม่เกิน 200 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล
แง่มุมที่หกของปาฏิหาริย์ ในพระดำรัสของพระองค์: "ไม่เพียงเท่านั้นพวกเรายังเป็นกลุ่มชนที่ถูกเวทมนตร์อีกด้วย" มนุษย์จะประหลาดใจหลังจากออกจากโลกเพราะไม่มีแรงโน้มถ่วงของโลกซึ่งเท่ากับศูนย์ ทำให้:
ไม่สามารถได้ยินเสียงได้เนื่องจากไม่มีอากาศที่เสียงจะเดินทางผ่าน ดังนั้นเมื่อพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางอวกาศเขาจะไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนเหมือนกับว่ามีเวทมนตร์เกิดขึ้นทันที
วัตถุจะไม่ตกลงสู่พื้นเนื่องจากไม่มีแรงโน้มถ่วงของโลก
ไม่สามารถดื่มของเหลวได้เพราะของเหลวจะไม่ออกจากภาชนะราวกับว่ามีเวทมนตร์เกิดขึ้น แทนที่จะได้ดื่มจะถูกดูดซึมแทน และน้ำจะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คล้ายคริสตัลนอกภาชนะ
นักบินอวกาศจะสามารถบินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่ตกลงมา
นักบินอวกาศจะสามารถยืนบนกระดาษและแกว่งไปมาโดยไม่ตก
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกค้นพบตรงกับความมหัสจรรย์ในกุรอานที่ ดังนั้นการสรรเสริฐเป็นของผู้ที่เปิดเผยอัลกุรอานด้วยความจริง พระองค์ได้เปิดเผยมันด้วยความรู้ของพระองค์และทำให้มันเป็นปาฏิหาริย์สำหรับศาสดาคนสุดท้ายของพระองค์ สันติภาพและความเมตตาของอัลลอฮ์จงมีแด่ศาสดาคนสุดท้ายที่พระเจ้าของเขา ขอความยิ่งใหญ่และความสูงส่งจงมีแด่พระองค์ พระองค์อัลลอฮฺทรงให้เกียรติด้วยการอธิบายว่าศาสดามุฮัมหมัดไม่ได้พูดจากอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงสูงส่งในความยิ่งใหญ่ตรัสว่า:
"เขาไม่ได้พูดจากความปรารถนาของตัวเอง สิ่ง (ที่เขาพูดนั้น) ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ (การเปิดเผย) ที่ถูกประทานลงมาแก่เขา"
(ซูเราะห์อันนัจม์: 3-5)