วิดีโอการเผยแผ่ศาสนา

เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าจะทิ้งเราไว้โดยไม่มีการวิวรณ์
เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าจะทิ้งเราไว้โดยไม่มีการวิวรณ์

เคยสงสัยไหมว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างประณีตและเปี่ยมด้วยปัญญาจะทรงทอดทิ้งมนุษย์ไว้โดยไร้ซึ่งการชี้นำหรือจุดมุ่งหมาย? คำถามสำคัญที่ว่าเรามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร และอะไรจะเกิดขึ้นหลังความตาย ล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงละเลยให้เราครุ่นคิดโดยปราศจากคำตอบ อันที่จริง พระองค์ได้ทรงเมตตาส่งศาสดาผู้ทรงเกียรติมากมาย อาทิ นูห์ อิบรอฮีม มูซา และอีซา มาเพื่อเปิดเผยความจริงอันสูงสุด และบอกเราถึงเป้าหมายของการมีอยู่ นั่นคือการรู้จักและเคารพสักการะพระองค์แต่เพียงผู้เดียวอย่างถูกต้อง ศาสดาเหล่านี้ได้นำพาคำสั่งสอนอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนด ข้อห้าม และแนวทางการดำเนินชีวิตที่เปี่ยมด้วยจริยธรรมอันงดงาม เพื่อให้ชีวิตของเราบนโลกนี้เต็มไปด้วยความดีงามและนำไปสู่ความสุขนิรันดร์ในปรโลก พร้อมทั้งแสดงปาฏิหาริย์เพื่อยืนยันสาส์นจากฟากฟ้า และเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเป็นศาสดาที่แท้จริงจากพระองค์ ศาสดามูฮัมหมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) คือศาสดาท่านสุดท้ายที่ได้รับพระคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งยืนยันว่าชีวิตบนโลกนี้คือบททดสอบอันสำคัญยิ่ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตอันเป็นนิรันดร์หลังความตาย โดยมีสวรรค์อันรื่นรมย์สำหรับผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามคำสอน และไฟนรกอันเจ็บปวดสำหรับผู้ปฏิเสธ ที่ไม่ยอมรับพระเจ้าและบรรดาศาสดาของพระองค์ พระองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า “พวกเจ้าคิดว่า แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ” (23:115) ซึ่งเป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของการวิวรณ์และจุดหมายปลายทางอันยิ่งใหญ่ที่เราทุกคนต้องเผชิญ

ทำไมศาสดาถึงมีหลายท่าน
ทำไมศาสดาถึงมีหลายท่าน

สงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดพระผู้เป็นเจ้าจึงประทานศาสดามามากมายหลายท่านตลอดประวัติศาสตร์? คำตอบคือ พระองค์ทรงเมตตาและประสงค์จะนำทางมนุษยชาติกลับคืนสู่สัจธรรมเสมอมา โดยได้ส่งศาสดาแต่ละท่านมาเพื่อเชิญชวนผู้คนให้รู้จักพระองค์ และนำคำสั่งพร้อมข้อห้ามอันเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้องมาสู่มนุษย์ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเริ่มห่างเหินจากคำสอนดั้งเดิม หรือบิดเบือนสาสน์ ศาสดาองค์ใหม่ก็จะถูกแต่งตั้งขึ้น เพื่อแก้ไขเส้นทางที่คดเคี้ยว และนำพามนุษย์ให้กลับสู่ฟิตเราะห์ที่บริสุทธิ์ ด้วยการยอมรับและภักดีต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว กระบวนการนี้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเป็นศาสดาท่านสุดท้าย ได้ถูกประทานมาพร้อมกับบทบัญญัติอันเป็นนิรันดร์และครอบคลุมทุกยุคสมัยสำหรับมนุษยชาติทั้งหมดจวบจนวันสิ้นโลก บทบัญญัตินี้เสริมและยกเลิกกฎหมายก่อนหน้า โดยพระผู้เป็นเจ้าทรงค้ำประกันว่าศาสนาอิสลามและอัลกุรอานจะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้น ชาวมุสลิมจึงศรัทธาในศาสดาและคัมภีร์ทุกเล่มที่ถูกประทานมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด เป็นการยืนยันความต่อเนื่องและครบถ้วนสมบูรณ์ของสาสน์จากพระผู้เป็นเจ้า

ลำดับขั้นตอนในการทำสงคราม
ลำดับขั้นตอนในการทำสงคราม

ความเข้าใจลำดับขั้นตอนในการทำสงครามไม่ใช่เพียงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ แต่คือการหยั่งรู้ถึงรากฐานแห่งความมั่นคงของชาติ กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการประเมินสถานการณ์ และรวบรวมข้อมูลข่าวกรองอย่างรอบด้าน ตามมาด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์และกำหนดกลยุทธ์อันแยบยล จากนั้นจึงเข้าสู่การเตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้พร้อมรบ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงปฏิบัติการรบ ที่ต้องใช้ทั้งความกล้าหาญและไหวพริบ และปิดท้ายด้วยการจัดการหลังสงคราม เพื่อฟื้นฟูและสร้างเสถียรภาพ แต่ละขั้นล้วนมีความสำคัญและส่งผลต่อภาพรวมของชัยชนะและความสูญเสีย การศึกษาเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในมิติของความขัดแย้งที่ซับซ้อน

ใครสร้างฉัน และทำไม
ใครสร้างฉัน และทำไม

เคยสงสัยไหมว่า 'ใครสร้างฉันและทำไม?' ลองพิจารณาท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ แผ่นดินที่เรายืนหยัด และสิ่งมีชีวิตนับล้านที่ซับซ้อน ระบบที่แม่นยำในจักรวาลและในร่างกายของเราเอง – ใครเป็นผู้วางรากฐานอันสมบูรณ์แบบนี้? ใครให้การได้ยิน การมองเห็น และความคิดแก่เรา และทำให้เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจความจริง? จักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นเอง หรือมาจากความว่างเปล่าโดยบังเอิญกระนั้นหรือ? หากบ้านหลังหนึ่งต้องมีผู้สร้าง แล้วจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้เล่า จะไม่มีผู้สร้างได้อย่างไร? เราเชื่อในความรู้สึก ความคิด และความรัก แม้จะมองไม่เห็นตัวตน แต่เราสัมผัสผลลัพธ์ของมัน แล้วเราจะปฏิเสธการมีอยู่ของผู้สร้างเมื่อเราเห็นผลงานอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ได้อย่างไร? ดังที่อัลลอฮ์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า "หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเอง หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ เปล่าเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก" (อัลกุรอาน 52:35-36) คำถามเหล่านี้เชิญชวนให้เราใคร่ครวญถึงที่มาของสรรพสิ่งและความหมายของการดำรงอยู่ของเรา

อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา
อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา

อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา คือพระเจ้าผู้ทรงเอกะ ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งมวลแต่เพียงพระองค์เดียว ผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง และทรงมีพระนามอันวิจิตรพร้อมคุณลักษณะอันสมบูรณ์ไร้ที่ติมากมาย อาทิเช่น พระผู้สร้าง, พระผู้ทรงเมตตายิ่ง, พระผู้ประทานปัจจัยยังชีพ, และพระผู้ทรงกรุณา โดยเฉพาะพระนาม "อัลลอฮ์" คือพระนามที่รู้จักกันมากที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งถึงผู้ที่สมควรได้รับการเคารพสักการะอย่างแท้จริงเพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ใดร่วมเป็นภาคีหรือเสมอเหมือนพระองค์ในความเป็นพระเจ้าเลย ดังที่อัลกุรอานประกาศว่า "จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์" (112:1-4) พระองค์คือผู้ทรงมีชีวิตนิรันดร์ ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งปวง ครอบคลุมทุกสิ่งในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ด้วยความรู้และอำนาจอันไร้ขีดจำกัด ทรงเป็นผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ตลอดกาล.

คุณลักษณะของพระเจ้าซุบฮานาฮูวะตะอาลา
คุณลักษณะของพระเจ้าซุบฮานาฮูวะตะอาลา

จักรวาลอันกว้างใหญ่และสรรพสิ่งทั้งมวลล้วนสะท้อนถึงพระผู้เป็นเจ้า ซุบฮานาฮูวะตะอาลา ผู้ทรงสร้างที่สมบูรณ์แบบ ทรงเอกะ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนและไม่มีภาคีใดๆ พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งในจักรวาล ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา และการให้อภัยอันหาที่สุดมิได้แก่สรรพชีวิต ทรงยุติธรรมในทุกการตัดสิน และทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองตลอดนิรันดร์ การเรียนรู้คุณลักษณะอันสูงส่งเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มพูนความเข้าใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ยังช่วยให้เรามองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในทุกปรากฏการณ์รอบตัวเรา เชิญชวนทุกท่านมาร่วมสำรวจและทำความเข้าใจถึงพระนามอันงดงามและคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์อย่างลึกซึ้ง เพื่อสัมผัสถึงความสงบในจิตใจและพบกับแก่นแท้แห่งการดำรงอยู่ นำทางสู่ความเข้าใจในสัจธรรมและวิถีแห่งศรัทธาที่บริสุทธิ์

تطوير midade.com

جمعية طريق الحرير للتواصل الحضاري