ทำไมคุณถึงยอมแพ้ไม่ได้

ศาสนาแห่งความรู้

"دين المعرفة" หรือ ศาสนาแห่งความรู้ คือนิยามที่แท้จริงของอิสลามที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการแสวงหาวิทยาการ
จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่โองการแรกในคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกประทานแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) คือพระบัญชาอันทรงพลังว่า "อ่าน" (اقرأ)
คำสั่งสั้นๆ แต่มหาศาลนี้เน้นย้ำถึงรากฐานอันมั่นคงของการศึกษา การคิดวิเคราะห์ และการใฝ่รู้ในหลักการอิสลามมาตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ คัมภีร์อัลกุรอานยังเต็มไปด้วยโองการจำนวนมากที่กระตุ้นเตือนให้มนุษย์ใช้สติปัญญาไตร่ตรอง
ควบคู่ไปกับวจนะของท่านศาสดา (หะดีษ) ที่ส่งเสริมให้มุสลิมทุกคนไม่หยุดยั้งในการแสวงหาความรู้
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางโลกที่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและความเข้าใจในจักรวาล
หรือความรู้ทางธรรมที่นำไปสู่ความเข้าใจในพระผู้เป็นเจ้าและจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตอันลึกซึ้ง
อิสลามจึงเป็นศาสนาที่เชิดชูนักปราชญ์ ผู้รู้ และผู้ที่อุทิศตนเพื่อการศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอ
เป็นการยืนยันว่าการเรียนรู้และปัญญาคือเส้นทางสู่ความเข้าใจอันถ่องแท้ในทุกมิติของชีวิต
ทำให้ "ศาสนาแห่งความรู้" เป็นแสงนำทางในการพัฒนาทั้งตนเองและสังคมให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน.

สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในอิสลาม

เคยสงสัยไหมว่า "ความยุติธรรม" และ "สิทธิมนุษยชน" มีความหมายลึกซึ้งเพียงใดในอิสลาม? ศาสนาอันทรงเกียรตินี้ได้วางรากฐานหลักการศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ความยุติธรรม ความเสมอภาค และการคุ้มครองอันสมบูรณ์แก่ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม อิสลามถือว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ และให้ความสำคัญอย่างสูงสุดกับชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติยศของทุกคน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์จะทำร้าย กดขี่ หรือดูหมิ่นผู้อื่นได้เลย ท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้เน้นย้ำถึงแก่นแท้นี้อย่างชัดเจนว่า "แท้จริงแล้ว เลือดของท่าน ทรัพย์สินของท่าน และเกียรติยศของท่านนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเมิดได้" ด้วยเหตุนี้เอง การเหยียดเชื้อชาติ หรือการเลือกปฏิบัติใดๆ จึงไม่สามารถมีที่ยืนได้ในอิสลามเลยแม้แต่น้อย อัลกุรอานได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า "โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติและเผ่าพันธุ์ต่างๆ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่ยำเกรงพระองค์มากที่สุด" หลักการอันงดงามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันลึกซึ้งของอิสลามในการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง เชิญมาทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งความเมตตาและยุติธรรมนี้ด้วยกัน

ความเมตตาคือรากฐาน

คุณรู้ไหม?

 ความเมตตาไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มันคือกฎแห่งชีวิต ในศาสนาอิสลาม ความเมตตาคือรากฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ตั้งแต่คำแรกในคัมภีร์กุรอานที่กล่าวถึงพระเจ้าของเราในฐานะ "อัล-เราะห์มาน" หรือผู้มีความเมตตา เพื่อให้เรารู้ว่า ความเมตตาคือแก่นของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์  ความเมตตาไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มันคือพฤติกรรมที่เราต้องทำในชีวิตประจำวัน

ท่านศาสดามูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) กล่าวไว้ว่า:  "ใครที่ไม่เมตตา คนคนนั้นก็จะไม่ได้รับความเมตตา"  มันคือการเรียกร้องให้เรารักษาความอ่อนโยนแม้ในเวลาที่ลำบาก  นี่คือความเมตตาที่เราควรฝึกฝนในชีวิตประจำวัน  ความเมตตาไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึก แต่มันคือกฎที่สอดแทรกอยู่ในการกระทำ คำพูด และการตัดสินใจทุกๆ วัน

แม้ในยามที่ชีวิตมีความยากลำบาก ความเมตตายังคงเป็นกุญแจที่ช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคไปได้