โลกกลมในมุมของวิทยาศาสตร์และอิสลาม

บทนำ

วิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ เป็นหนึ่งในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและจักรวาลที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของวงโคจร ดวงดาว และวัตถุต่างๆ ในจักรวาล เพื่อให้ได้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเข้าใจในจักรวาลและสิ่งที่มันบรรจุ เช่น ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ วิทยาศาสตร์นี้พัฒนาขึ้นตั้งแต่กรีกโบราณและผ่านหลายอารยธรรม โดยที่อารยธรรมเหล่านี้ต่างก็สรุปในช่วงยุคสมัยต่างๆ ว่าโลกมีลักษณะเป็นทรงกลม จนกระทั่งอารยธรรมอิสลามได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน โดยอารยธรรมอิสลามเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่มีความชำนาญในวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์อาหรับและมุสลิม พวกเขาใช้การเคลื่อนไหวของวัตถุในจักรวาลเพื่อประโยชน์ทางศาสนาอิสลาม และได้สร้างปฏิทินหลายประเภท รวมถึงเข้าใจธรรมชาติของวงโคจรและดวงดาว จนเป็นผลทำให้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เริ่มต้นขึ้น และวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ก็พัฒนาขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสังเกตและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการมองขึ้นสู่ท้องฟ้า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยทางวิชาการที่แสดงให้เห็นว่าโลกไม่แบน แต่เป็นทรงกลมได้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง หลักฐานบางส่วนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้แก่:การสังเกตด้วยสายตา: ตัวอย่างเช่น เมื่อเราสังเกตเรือที่ค่อยๆ หายไปจากขอบฟ้าเมื่อมันแล่นออกไป นี่เป็นเพราะโลกมีลักษณะโค้ง ไม่ใช่เพราะเรือแล่นออกไปจนสุดขอบของโลกหรือพื้นผิว อีกทั้งการสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคา ที่เราจะเห็นว่าเงาของโลกกระจายไปทั่วทั้งโลกและการแพร่กระจายของสุริยุปราคาและจันทรุปราคาในหลายๆ ประเทศ ทำให้บางแห่งเป็นสุริยุปราคาเต็มดวง ในขณะที่อีกแห่งเป็นสุริยุปราคาบางส่วน นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างของเวลากลางวันและกลางคืน รวมถึงการเดินทางโดยเครื่องบินที่ทำให้เราสังเกตเห็นความแตกต่างของเวลาต่างๆ ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามารถเข้าใจได้โดยมนุษย์การเดินทางในอวกาศและการถ่ายภาพโลกจากนอกบรรยากาศ: ภาพถ่ายที่ถ่ายโดยดาวเทียมและการเดินทางในอวกาศแสดงให้เห็นว่าโลกเป็นทรงกลม นอกจากนี้การโคจรรอบโลกของนักบินอวกาศและเส้นทางโคจรของดาวเทียม ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมที่โคจรพร้อมกับโลกหรือกับดวงอาทิตย์ก็เป็นเครื่องยืนยันฟิสิกส์ดาราศาสตร์และกลศาสตร์ท้องฟ้า: กฎของแรงโน้มถ่วงและกฎการเคลื่อนที่ของวัตถุและวงโคจรของมันทั้งหมดสอดคล้องกับทรงกลมของโลกดังนั้น จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายประการ สามารถกล่าวได้ว่าโลกมีลักษณะเป็นทรงกลม นอกจากนี้ยังมีอ้างอิงทางศาสนา เช่น ในคำพูดของพระเจ้าในอัลกุรอาน "พระองค์ผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและโลกอย่างเที่ยงธรรม พระองค์ทรงให้กลางคืนปกคลุมกลางวัน และทรงให้กลางวันปกคลุมกลางคืน พระองค์ได้กำหนดดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ให้ทั้งสองโคจรไปจนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ พระองค์เท่านั้นที่เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดและผู้ทรงอภัย"การตีความทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานในข้อความ: วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าการหมุนของโลกบนแกนของมันสามารถสังเกตเห็นได้จากการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก แกนของโลกเป็นเส้นที่ผ่านจุดศูนย์กลางของมันที่หมุนทุก 24 ชั่วโมง และขั้วโลกเป็นปลายสุดของมัน เส้นศูนย์สูตรแบ่งโลกออกเป็นทิศเหนือและใต้ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์อีกว่าการหมุนของโลกบนแกนของมันและการหมุนของมันรอบดวงอาทิตย์ไม่ได้เกิดขึ้นบนระนาบเดียวกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้น เส้นศูนย์สูตรจะหันหน้าสู่ดวงอาทิตย์ตลอดทั้งปี และฤดูกาลทั้งหมดจะคงที่ตลอดเวลาการตีความอัลกุรอานที่สามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงการสนับสนุนความคิดที่ว่าโลกเป็นทรงกลม ได้รับความสนใจและการศึกษาจากนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์มุสลิมในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยมีการตีความหลายอย่าง ได้แก่ ในคำอธิบายของอิบนุกะซีร กล่าวว่าบทที่บ่งชี้ถึงการหมุนของกลางคืนบนกลางวันและกลางวันบนกลางคืนบ่งบอกถึงการหมุนของโลกเอง เช่นเดียวกันในคำอธิบายของอัล-ฏอบะรี ได้กล่าวถึงการหมุนของโลกบนแกนของมัน ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างกลางคืนและกลางวัน อีกทั้งในคำอธิบายของอัล-ราชี คำว่า "ยักษ์เราะ" ในบทหนึ่งหมายถึง "การพัน" ซึ่งบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของโลกเองปาฏิหาริย์ในเรื่องนี้:อัลกุรอานได้กล่าวอย่างชัดเจนในหลายๆ หัวข้อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันและกลางคืน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งสิ่งที่อายะห์กล่าวถึงนั้นเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจแตกต่างได้ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลต่างๆ พระเจ้าได้สร้างชั้นฟ้าให้มีดวงดาวลอยอยู่ในนั้น และกำหนดให้มีการเคลื่อนที่อย่างถูกต้องตามน้ำหนักที่กำหนดไว้ การที่โลกเป็นทรงกลมถือเป็นหนึ่งในความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการกล่าวถึงในอัลกุรอานก่อนที่จะมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ บางคนถือว่านี่เป็นปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์ในอัลกุรอานที่บ่งบอกถึงทรงกลมของโลกและพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ดีที่สุด